THE BROAD : Art Museum by Diller Scofidio + Renfro

Spread the love

ในที่สุดงานสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญที่ผมรอคอยมานานก็สร้างเสร็จและเปิดให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าชมวันนี้เป็นวันแรก ผมเลยถือโอกาสนำรูปแบบละเอียดมาฝากกันเช่นเคยครับ งานนี้คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ The Broad ออกแบบโดย Diller Scofidio + Renfro ซึ่งตั้งอยู่ติดกับงานที่เป็นไอคอนอย่างหนึ่งของแอลเอเลย นั่นก็คือ Disney Concert Hall ที่ออกแบบโดย Frank Gehry นั่นเอง

ขอพูดถึงที่มาที่ไปของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นิดหนึ่งคือ ผู้ริเริ่มโครงการนี้คือ Eli Broad ซึ่งเป็นอภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดติดอันดับหนึ่งในร้อยคนของโลกนี้ เขาอยากที่จะให้งานศิลปะที่เขาสะสมมาเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษออกมาจัดแสดงให้ผู้คนทั่วไปได้ชมกัน ดีกว่าที่จะเก็บไว้ดูคนเดียว ก็เลยเชิญสถาปนิกดังๆหกเจ้ามาทำประกวดแบบกัน ซึ่งก็มีรุ่นใหญ่ Rem Koolhaas, Herzog & de Meuron, SANAA เป็นต้น ในที่สุดบริษัท Diller Scofidio + Renfro จากนิวยอร์คก็ชนะประกวดแบบไป

บรรยากาศการต่อคิวรอด้านหน้าอาคาร ตอนแรกผมเห็นคนใส่ชุดแดงเยอะๆก็ยังสงสัยว่ามีคนกลุ่มใหญ่จะมาต่อคิวรอเข้าชมเยอะขนาดนี้เลยเหรอ แต่ปรากฏว่าเขามาเดินประท้วง Eli Broad ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์กันครับ พวกเขาเห็นว่าการที่คุณ Broad สร้างพิพิธภัณฑ์ให้สาธารณะนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ที่เขามาประท้วงคือคุณ Broad กำลังสนับสนุนการออกกฏหมายให้รัฐลดเงินสนับสนุนการศึกษา และด้านศิลปะของโรงเรียนในรัฐแคลิฟอร์เนียนี้

มาดูแปลนงานนี้จากแผ่นพับที่เขาแจกมาให้นิดนึงครับ หลักๆแล้วอาคารนี้มี 3 ชั้น (ถ้าไม่รวมชั้นใต้ดิน) คือชั้นบนสุดและล่างสุดจะเป็นชั้นจัดแสดงนิทรรศการ โดยเราจะต้องขึ้นไปดูงานชั้นบนก่อน ส่วนชั้นตรงกลางนั้นจะเป็นห้องเก็บงานศิลปะ ห้องสัมมนา และออฟฟิสของพิพิธภัณฑ์

สรุป quick fact คร่าวๆคือ ผิวอาคารที่เขาเรียกว่า “veil” แปลตรงๆก็คล้ายๆกับผ้าโปร่งๆที่เจ้าสาวใช้คลุมหน้าในงานแต่งงานของฝรั่ง แต่ผิวอาคารนี้ทำมาจาก fiberglass reinforced concrete มีจำนวนถึง 2,500 ชิ้น แกลเลอรี่ตรงด้านบนชั้นสามจะมี Skylight ที่เปิดรับแสงจากทางทิศเหนือ คอนกรีตที่ใช้สร้าง “vault” หรือเหมือนเป็นตู้เซฟเก็บงานศิลปะนั้นใช้มากถึง 16 ล้านกิโลกรัม ส่วนจัดแสดงของงานนี้มีพื้นที่ประมาณ 3,500 ตรมตรงชั้นสามและ 1,500 ตรมที่ชั้นแรก โดยส่วนจัดแสดงนี้ไม่มีเสามากีดขวางพื้นที่ภายในเลย

เข้ามาตรงบริเวณล็อบบี้ก็จะเจอบันไดเลื่อนขึ้นไปสู่ชั้นสามเลย ผนังและฝ้าตรงนี้จะเป็นแบบ free form บรรยากาศตรงนี้จะดูคล้ายถ้ำ มืดๆทึมๆหน่อย

บันไดเลื่อนผ่านช่องที่เป็นเหมือนอุโมงค์เข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง

พื้นที่ตรงส่วนแกลเลอรี่ค่อยๆเผยโฉมออกมา จากมืดๆค่อยๆมาเป็นสว่าง

และเมื่อขึ้นมาถึงแกลเลอรี่ชั้นบน งานแรกที่มาต้อนรับให้เห็นคืองานประติมากรรม Tulip สีสันสดใส โดย Jeff Koons แต่สิ่งที่เตะตาผมมากกว่างาน Jeff Koons ก็คือแผง skylight ตรงด้านบนนี่แหละครับ ต้องยอมรับว่า skylight นี้ทำหน้าที่ของมันได้ดีมาก แสงที่ลงมาสู่ space ภายในนั้นมันนุ่มนวลมาก จะเห็นได้จากในภาพว่าเงาของคนที่เดินไปมานั้นแทบจะมองไม่เห็นเลย และอีกอย่างคือด้วยความที่เส้นโครงสร้างของ skylight เป็นแนวทะแยงรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เวลาเราเดินเปลี่ยนมุม แสงที่เราเห็นเมื่อเรามองขึ้นไปมันก็จะแตกต่างกันด้วย อธิบายยากเหมือนกันครับ ลองดูรูปประกอบแล้วกัน

มองกลับไปตรงบันไดเลื่อนที่ขึ้นมา ตรงนี้เป็นเหมือนทางสัญจรหลัก มีทั้งลิฟท์แก้วและบันไดเดินลง

งาน Jeff Koons น่าสนใจตรงที่ทำวัสดุโลหะที่หนักมากๆให้มีพื้นผิวที่บางเบาเหมือนเป็นลูกโป่งได้เนียนมาก

แผง skylight ซึ่งแต่ละอันก็จะมีม่านที่สามารถเปิดปิดให้ไม่เท่ากันได้

ห้องนี้เป็นห้องที่แสดงงานของ Jeff Koons เป็นหลัก ส่วนผนังด้านหลังของภาพนั้นคือผนังด้านหน้าของอาคารนั่นเอง

งานประติมากรรมผู้หญิงยักษ์

กับโต๊ะยักษ์ งานนี้โดย Robert Therrien

ห้องนี้เป็นผลงานของ Roy Lichtenstein

ตรงผนังห้องนี้จะเป็นด้านที่หันเข้าหา Disney Concert Hall

สามารถจะมองทะลุไปได้

มองไปเห็นถึงโบสถ์ Cathedral of Our Lady of the Angels ที่ออกแบบโดย Rafael Moneo อยู่ไกลๆ

จะเป็น collection ที่สมบูรณ์ได้อย่างไรถ้าไม่มีงานของ Ellsworth Kelly

และเจ้าพ่อ Pop art อย่าง Andy Warhol

งานนี้เรียบง่ายแต่ไอเดียดี

งานแกะแช่ฟอร์มาลีนของ Damien Hirst

อีกงานจาก Damien Hirst

งานของ Kara Walker ซึ่งเน้นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของคนผิวสี

งานของ Ed Ruscha ลองอ่านดูครับ เคล็ดลับสำหรับศิลปินที่ต้องการขายงานได้

งาน Untitled โดย Robert Rauschenberg นี้ต้องเป็นงานที่สำคัญมากแน่ๆ เพราะ Eli Broad ถึงกับยอมแลกภาพวาดของแวนโก๊ะภาพหนึ่งซึ่งเขาซื้อมาตั้งแต่เริ่มสะสมงานศิลปะใหม่ๆไปกับภาพนี้

งาน Red Block โดย El Anatsui :ซึ่งทำมาจากฝาขวดเหล้าจำนวนมากเอามาสานต่อกันเป็นผืนใหญ่

งาน Balloon Dog ของ Jeff Koons

บั้นท้ายหมาของ Jeff Koons สะท้อน pattern ของ skylight ได้อย่างน่าสนใจ

ก่อนจะลงไปจากชั้นสามนี้เรามาดูดีเทลกันอีกสักหน่อย

บันไดทางลงไปชั้นล่าง

ตรงชานพักจะมีช่องกระจกให้มองเข้าไปเห็นห้อง ‘vault’ ซึ่งใช้เก็บงานศิลปะชิ้นอื่นๆได้

ชานพักตรงชั้นสอง

ชั้นสองตรงนี้เป็นส่วนออฟฟิสของพิพิธภัณฑ์

และห้องบรรยาย ซึ่งส่วนที่บุ๋มจากภายนอกอาคารเข้ามาภายในนั้นจะเป็นส่วนนี้

ช่องแอบมองห้องเก็บงานศิลปะตรงชานพักอีกจุดหนึ่ง

ย้อนกลับลงมาตรงล็อบบี้อาคาร

ถ้าลงด้วยลิฟท์แก้ว มองขึ้นไปจะเป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก

ตรงทางเชื่อมไปสู่แกลเลอรี่ของชั้นหนึ่ง ตรงนี้มีงานของ Yayoi Kusama

ชื่อว่างาน Infinity Mirrored Room

ภายในเป็นห้องกระจกล้อมทุกด้านและเป็นน้ำอยู่ด้านล่าง และมีการห้อยหลอดไฟหลากสี กระพิบวูบวาบไปมา ให้บรรยากาศเหมือนเราอยู่ในอวกาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด

งานไฮไลท์ของแกลเลอรี่ชั้นล่างนี้คงเป็นห้องที่จัดแสดงงานของ Takashi Murakami กับงานจิตรกรรมที่มีความยาวถึง 26 เมตร

สองคน(คนจริงๆ)ที่นอนคุยกันอยู่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะครับ

หลังจากชมงานทั้งหมดแล้วก็ออกมาที่ร้านค้าที่อยู่บริเวณล็อบบี้บ้าง

บริเวณที่ต่อคิวรอตรงด้านหน้าอาคาร

ย้อนกลับมาดูภายนอกกันอีกรอบหนึ่ง ตรงนี้เป็นบริเวณทางออก

ผนังที่บุ๋มลงไปตรงห้องบรรยายด้านใน

ทางเข้าด้านหน้าอีกรอบ

สรุปว่างานนี้เป็นงานที่น่าตื่นตาตื่นใจมากสำหรับผม เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอยมาเป็นเวลานาน space ตรงส่วนล็อบบี้ผ่านลอดเข้าอุโมงค์ไปสู่ด้านบนนั้นเป็นการอินโทรที่น่าสนใจ ส่วน space ตรงชั้นสามนั้นถึงแม้ว่าในแง่การใช้งานจะเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ทั่วๆไป ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย แต่ด้วยความโดดเด่นของตัว skylight และเปลือกของอาคารนั้น ทำให้ space แสง และบรรยากาศนั้นดูบางเบา น่าสนใจมากทีเดียว ถ้าท่านใดมีโอกาสมาแอลเอ ขอแนะนำให้มาชมงานนี้ครับ และที่สำคัญ งานนี้เข้าชมฟรีครับ

ท่านที่สนใจจะชมภาพช่วงที่กำลังก่อสร้างอยู่ของอาคารนี้ ในเว็บเราก็มีให้ชมได้ ที่นี่ ครับ

Gallery นี้มีภาพประมาณร้อยกว่าภาพ ซึ่งก็มีดีเทลหลายภาพที่ไม่ได้ลงด้านบน เชิญรับชมกันได้ครับ


Spread the love