Home
Featured Projects
Photo Gallery
Articles
Links
About us

   

พอดีผมได้มีโอกาสเข้าไปฟังการบรรยายของสถาปนิกที่ผมชื่นชอบมากที่สุดท่านหนึ่งนั่นคือ Tadao Ando ที่เขามารับรางวัล Neutra Medal for Professional Excellence ที่ California State Polytechnic University เมือง Pomona เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา พร้อมกับทั้งเปิดบรรยายไปในโอกาสเดียวกัน โดยมีคุณ กุลภัทร ยันตรศาสตร์ ผู้ซึ่งเคยเป็นสถาปนิกมือขวาของเขา แต่ขณะนี้มีออฟฟิสของตัวเองอยู่ในแอลเอเป็นผู้แปลให้ งานนี้ Thom Mayne แห่ง Morphosis เพื่อนเก่าแก่ของ Ando ก็มาร่วมฟังด้วย และตัวเขาเองก็เพิ่งได้รับรางวัลนี้ไปเมื่อปีที่แล้ว เลยเป็นโอกาสที่ดีของผมที่ได้พบกับสถาปนิกรางวัล Pritzker Prize ถึงสองคนในคราวเดียวกัน

หลังจากฟังการบรรยายของ Ando เสร็จแล้วผมรู้สึกมีแรงใจในการทำงานเพิ่มขึ้นอีกเยอะ เลยอยากจะนำสิ่งที่เขาได้พูดไว้มาแบ่งปัน พี่ๆน้องๆผู้อ่านกันบ้าง สิ่งที่เอามาลงนี้ไม่ใช่เป็นการสรุปเนื้อความ แต่เป็นการดึงแค่บางส่วน(จริงๆแล้วหลายส่วน)ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ หรือมุขขำๆที่เขาปล่อยออกมาเป็นระยะๆ เรียกว่าตลอดการบรรยายผมไม่รู้สึกเบื่อหรือง่วงเลย

(ปล ภาพที่นำมาลงไม่ใช่ภาพในสไลด์ของ Ando นะครับ เป็นแค่ภาพอ้างอิงให้พอนึกถึงงานออกเท่านั้น)

............................................

Ando เริ่มด้วยการแนะนำตัว เขาบอกกับผู้ฟังว่าเขาได้ใช้เวลาจำนวนมากกับการทำงานและเรียนรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม เลยไม่มีเวลาเรียนภาษาอังกฤษ (คนฟังหัวเราะ) วันนี้เลยขอให้คุณกุลภัทรเป็นคนแปลให้

สิ่งสำคัญที่เขาอยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ เราจะใช้สถาปัตยกรรมเป็นหนทางที่ทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมได้อย่างไร เขาอยากจะเชิญชวนให้ทุกท่านมาร่วมคิดด้วยกัน


TWA Terminal ใน New York
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/File:Jfkairport.jpg

สไลด์แรกเริ่มด้วยรูป TWA Terminal ออกแบบโดย Eero Saarinen, Ando ได้กล่าวว่า ตอนแรกที่ได้มาที่ประเทศอเมริกา เขาได้ไปเยี่ยมชมงานสถาปัตยกรรมหลายชิ้น อย่างเช่นงาน TWA Terminal , Case Study Houses ในยุค 50 และ 60 เขาได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากทั้งสภาพสังคม และการที่ประเทศที่เกิดใหม่อย่างนี้เต็มไปด้วยพละกำลังอย่างเหลือเฟือ เขาไม่อาจจะลืมได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับตัวเอง

Ando กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตและเป็นเวลาที่ยากลำบาก เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องนึกถึงสิ่งที่เรามีอยู่จำกัด อาหาร ทรัพยากร และพลังงานกำลังจะหมดไป ด้วยการที่เรามีความเกี่ยวข้องอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เราจึงมีบทบาทสำคัญที่จะคิดและจัดการเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของเราในวันนี้

ตอนนี้เรากำลังจะมีประชากรประมาณ 7 พันล้านคนทั่วโลก พวกเราจึงต้องคิดถึงวิธีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฉลาด พวกเราซึ่งเป็นสถาปนิก เราถูกสอนให้คิดเป็นสามมิติ ไม่ใช่แค่คิดในเรื่องของรูปทรง แต่เราสามารถที่จะประกอบสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันเป็นโครงสร้างและกระบวนการจัดการ ด้วยเครื่องมือและทักษะที่เรามีอยู่ เราสามารถที่จะช่วยเหลือสังคมได้ในหลายๆทาง

เขาได้พูดถึงการศึกษาของเขาว่า เขาไม่ได้เรียนสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัย แต่เขาต้องการที่จะทำงานสถาปัตยกรรม ดังนั้นเขาจึงได้ค้นหาวิธีที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง เขามีแค่ความมุ่งมั่นที่จะทำงานสถาปัตยกรรม และนั่นก็เป็นสิ่งที่ชี้นำทางให้ในการทำงานและเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะไขว่ขว้ามา

เขาบอกผู้ฟังโดยเฉพาะคนที่ยังอายุน้อยอยู่ว่า "คุณควรจะคิดถึงสิ่งที่ต้องการจะทำ สิ่งที่คุณอยากจะค้นหาตลอดชีวิตของคุณ เมื่อคุณหามันพบ นั่นจะเป็นสิ่งที่คุณชอบทำและจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ"


Taliesin West บ้าน Frank Lloyd Wright ที่ Arizona

Ando ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการเดินทางมาก เขาได้กล่าวว่า

ในช่วงที่เขาอายุยี่สิบกว่าๆ เขาใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนดูหนังสือทางสถาปัตยกรรม พยายามค้นหาสิ่งที่น่าสนใจ และน่าตื่นเต้นจากหนังสือและงานสถาปัตยกรรมต่างๆ สำหรับเขาแล้ว Frank Lloyd Wright ได้ทำในสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ Wright มีบ้านทั้งในฝั่งตะวันออกและตะวันตกของอเมริกา ในแต่ละปี Wright จะต้องเดินทางจากบ้านหลังหนึ่งไปสู่อีกหลังหนึ่ง การเดินทางนี้มันเป็นกระบวนการคิดอย่างหนึ่ง เขาคิดว่าการเปลี่ยนสถานที่เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการคิดของ Wright

บางท่านอาจจะทราบมาว่า ญี่ปุ่นมีสถาปนิกระดับครูท่านหนึ่งชื่อ Togo Murano เขาพูดอยู่เสมอว่า เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่นานกว่า Frank Lloyd Wright และเขาก็มีชีวิตอยู่ถึง 92 ปี แต่ Ando คิดว่า การมีชีวิตอยู่ยืนนานอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เราจะต้องใช้ชีวิตที่น่าสนใจด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะต้องคิดถึงการมีอายุที่ยืนยาว กับวิถีการใช้ชีวิตของเรา


Le Corbusier
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/Corbusier

สถาปนิกอีกท่านหนึ่งคือ Le Corbusier ซึ่งการเดินทางของเขาในประเทศเยอรมันก็เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญ และสะท้อนออกมาในงานของเขาเช่นกัน

ครั้งแรกที่ Ando เดินทางไปยุโรปในตอนอายุ 24 ปี ด้วยความที่เขาต้องการจะพบ Le Corbusier เขาได้เดินไปเดินมาอยู่หน้าออฟฟิสของ Corbusier ด้วยความที่หวังว่าได้เห็นสถาปนิกชั้นครูท่านนี้เดินผ่านมาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ณ ตอนนั้นเขาไม่มีอะไรเลย พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ สิ่งที่เขามีอย่างเดียวคือ ความดื้นรั้นอย่างวัยรุ่นที่ต้องการรู้ว่าเขาจะได้เจอ Le Corbusier หรือไม่ เขาได้รอและเดินไปเดินมาหน้าออฟฟิสอยู่นาน จนมีคนเดินมาบอกว่า Le Corbusier เพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่นานมานี้เอง (คนฟังหัวเราะ)

Ando ได้กล่าวกับผู้ฟังว่าทุกท่านในที่นี้มีความสามารถทางด้านภาษา การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ ถ้าพวกคุณออกไปสู่โลกกว้างใบนี้ คุณนั้นได้เปรียบมากกว่าเขาตอนนั้นไปแล้วก้าวหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากกระตุ้นให้ทุกคนนั้น ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าคุณควรจะทำ

ในขณะเดียวกับเราต้องคิดถึงอนาคตระยะไกลที่กำลังมาถึง ในประเทศญี่ปุ่นอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ปี ในอเมริกาอาจจน้อยลงมานิดหนึ่ง เราจะต้องคิดว่าเราจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร รวมไปถึงการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและการใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวให้ได้มากที่สุด เมื่อคุณยังมีอายุน้อยอยู่ คุณควรจะคิดถึงวิธีที่จะสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้กับชีวิตของคุณ เพื่อให้เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณจะได้มีชีวิตอยู่อย่างดีและจากไปอย่างมีความสุข

เขาได้กล่าวถึงกวีชาวอเมริกันท่านหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้นไม่เกี่ยวกับอายุ แต่มันเกี่ยวกับความมุ่งมั่นกับจุดมุ่งหมาย ถ้ามีสิ่งนี้คุณก็เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไร สำหรับเขาแล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึงอยู่ตลอดเวลา

การเดินทางแรกของ Ando นั้นเริ่มขึ้นตอนอายุ 22 ปี เขาได้เดินทางไปทั่วญี่ปุ่น ตัวเขานั้นเป็นคนญี่ปุ่น สิ่งแรกที่จะต้องเข้าใจคือ อะไรคือความเป็นญี่ปุ่น


Peace Center โดย Kenzo Tange
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Hiroshima_Peace_Center

ช่วงที่เขาเดินทางในญี่ปุ่นนั้น งานสถาปัตยกรรมที่เตะตาเขาคือ Peace Center โดย Kenzo Tange ที่เมืองฮิโรชิมา ณ ตอนนั้นเขามีความรู้สึกว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามใดๆ และเราไม่สามารถที่จะก่อสงครามต่อไปได้เรื่อยๆ


The Great Hall ที่วัดโทไดจิ เมืองนารา
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/File:Daibutsu-den_in_Todaiji_Nara01bs3200.jpg

อีกงานคืออาคาร The Great Hall ที่วัดโทไดจิ เมืองNara ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับเขาแล้วตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจมากกับขนาดของอาคาร และมันเป็นอาคารก่อสร้างด้วยมือของช่างชาวญี่ปุ่น ยามได้ที่เขาเกิดปัญหากับโครงการที่ทำอยู่ เขาจะกลับมาที่วัดนี้ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่มนุษย์เราสามารถทำได้มันช่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป เขาบอกผู้ฟังว่า "มันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องค้นหาสิ่งที่ทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจเพื่อช่วยให้คุณสู้ต่อไป ในวันที่คุณประสบกับปัญหามากมาย"

Ando ได้โชว์ภาพแผนผังการเดินทางครั้งใหญ่ของเขา ซึ่งเริ่มจากการเดินทางโดยรถไฟสาย Trans-Siberia เขาต้องการไปยุโรปเพื่อไปชมงานของ Le Corbusier และสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นั่น เขาได้เดินทางผ่านไซบีเรีย รัสเซีย จนไปถึงยุโรป และกลับทางอาฟริกา ไปอินเดีย และกลับมาถึงญี่ปุ่นในที่สุด ตลอดการเดินทางใช้เวลา 10 เดือน


วิหาร Pantheon ในกรุงโรม
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/File:Pantheon-panini.jpg


วิหาร Parthenon ที่เมือง Athens
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/File:The_Parthenon_in_Athens.jpg

อาคารที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจหลังหนึ่งคือ วิหาร Pantheon ในกรุงโรม เขากล่าวว่าคุณสามารถที่จะจับจักรวาลทั้งอันมาไว้ในอาคารเดียว และเขาก็ได้ไปที่วิหาร Parthenon ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอันหนึ่งของ Le Corbusier เช่นกัน แต่สำหรับเขาแล้วอาคารนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรแม้แต่นิดเดียว เขาไม่เข้าใจงานชิ้นนี้เลยว่าทำไมสถาปนิกทั้งหลายรักงานชิ้นนี้กัน เขากลับมาจึงได้มาทำการศึกษาจากหนังสือ ถึงได้มีความเข้าใจถึงความสำคัญของอาคารหลังนี้

Ando ได้เล่าถึงเหตุผลที่เขาไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไว้ว่า ตอนที่เขาอายุ 15 ขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขามีครูคณิตศาสตร์ที่ดีท่านหนึ่ง ที่บอกเขาว่า ด้วยคณิตศาสตร์เราจะสามารถสร้างจินตนาการด้วยตัวเลขและสัดส่วน และช่วงนั้นบ้านเขากำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง เขาได้เห็นการทำงานของช่างไม้ในขณะที่กำลังอาศัยอยู่ในบ้าน มันเป็นส่วนผสมกันของการที่เขาเห็นว่า เขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้ด้วยมือของตัวเอง และการที่จะจินตนาการบางสิ่งที่ง่ายๆอย่างเรื่องคณิตศาสตร์ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเรียนรู้สถาปัตยกรรมด้วยตนเอง โดยที่ไม่เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย

ต่อมา Ando ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจของเขาที่มาจากการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เรียกว่า Gutai Movement ในตอนนั้นที่ญี่ปุ่น ซึ่งปรัชญาของเขาคือ การไม่ลอกเลียนคนอื่น ซึ่งไม่ใช่แค่การไม่ลอกผลงานของคนอื่นเท่านั้น แต่เป็นการดำเนินชีวิตในรูปแบบของตัวคุณเองด้วย นั่นเป็นเหมือนสิ่งยิ่งใหญ่ที่เขาได้เรียนรู้


Kazuo Shiraga
ที่มารูป http://bluwiki.com/go/File:Shiragasitting.jpg

Ando ได้ยกตัวอย่างงานของ Shozo Shinamoto ผู้เป็นสมาชิกหนึ่งของ Gutai Movement เขาสร้างผลงานโดยการโกนหัวและฉายภาพขนนกยูงลงบนหัวของเขา Kazuo Shiraga เขาสร้างงานศิลปะโดยการที่แขวนตัวจากฝ้าเพดานด้วยเชือก และวาดรูปด้วยเท้าของเขา
Ando บอกว่าตอนที่เขายังเป็นหนุ่มอยู่นั้น การที่ได้เห็นศิลปินเหล่านี้พยายามที่จะค้นหาความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้เขาได้คิดอย่างจริงจังว่าอะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำ


Jackson Pollock
ที่มารูป http://en.wikipedia.org/wiki/File:Namuth_-_Pollock.jpg

Ando ได้โชว์งานของ Jackson Pollock แล้วกล่าวว่า สิ่งที่สอนเขาเป็นอย่างมากคือ การที่ Pollock สร้างสรรค์ผลงานของเขาไปเกินขอบเขตของแผ่นผ้าใบ เกินขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนคาดหวัง และนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าคุณไม่คิดถึงในสิ่งที่เกินขอบเขตออกไป คุณไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆได้ Ando คิดว่าเราต้องการสองสิ่งคือ ทั้งไอเดียและทักษะที่จะทำให้เราหลุดจากขอบเขตออกไป


งานแรก Ando , Tomishima House
ที่มารูป http://www.archsource.info/projects/2771

ต่อมา Ando ได้โชว์งานออกแบบชิ้นแรกของเขาในใจกลางเมืองโอซาก้า พื้นที่ดินประมาณ 60 ตารางเมตร งานนี้เป็นบ้านสำหรับครอบครัวเล็กๆที่มาขอให้เขาออกแบบให้ เขารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเป็นงานแรก ถึงแม้ว่าพื้นที่จะเล็ก แต่ว่าเขาจะต้องทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ให้ได้ ในขณะเดียวกันเจ้าของนั้นก็ไม่ได้มีเงินมากมาย

หลังจากบ้านนี้สร้างเสร็จแล้ว อย่างที่เราทราบกันอยู่ว่าชีวิตเรานั้นไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังหรืออย่างที่วางแผนไว้เสมอไป บ้านหลังนี้ถูกออกแบบไว้สำหรับครอบครัวเล็กๆที่มีแค่ พ่อ แม่ กับลูกเล็กๆหนึ่งคนเท่านั้น แต่ 6 เดือนหลังจากที่พวกเขาได้เข้าไปอยู่ในบ้าน เขาได้มาบอก Ando ว่าภรรยากำลังตั้งท้องอีก ยิ่งไปกว่านั้นเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กแฝด (คนฟังหัวเราะ)

ลูกค้าได้บอก Ando ว่า ตัวเขาเองก็มีพี่น้องฝาแฝดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบกับบ้านหลังนี้ ดังนั้น Ando เลยต้องซื้อบ้านหลังนี้ไว้เอง (คนฟังหัวเราะ)

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บ้านหลังนี้ที่กลายมาเป็นออฟฟิส Andoได้มีการเปลี่ยนแปลงและต่อเติมมาหลายครั้ง ตอนแรกก็ต่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น ต่อมาก็ต่อเติมไปด้านข้าง และต่อขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นเสมือนบทเรียนอันหนึ่งของเขา จะเห็นได้ว่าผนังภายในนั้นเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือ สถาปนิกที่เป็นเพื่อนเขาอย่าง Richard Meier หรือ Frank Gehry ได้มาเยี่ยมที่นี่ แต่ด้วยความที่บันไดนั้นแคบมากรวมไปถึงชั้นหนังสือเหล่านี้ พวกเขาติดกันอยู่ได้แค่ชั้นหนึ่งแค่นั้น (คนฟังหัวเราะ)


หมาของ Ando
ที่มารูป http://www.flickr.com/photos/dariusz69/49784936/sizes/o/in/photostream/

ในปี 1989 ได้มีหมาจรจัดตัวหนึ่งหลงเข้ามาในออฟฟิสของ Ando เขาคิดว่ามันคงเป็นโชคชะตา จึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงมันไว้ ต่อมาก็มาคิดกันว่าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี เขาอยากได้ชื่อที่ทำให้นึกถึงในสิ่งที่กำลังทำอยู่ จึงคิดว่าจะเรียกมันว่า Kenzo Tange แต่ทุกคนในออฟฟิสไม่เห็นด้วย เพราะว่าตอนนั้น Tange ยังมีชีวิตอยู่ ท้ายสุดก็ตั้งชื่อมันว่า Le Corbusier (คนฟังหัวเราะ)

หมาตัวนี้เหมือนจะมีเซ้นซ์บางอย่างเกี่ยวกับลูกค้าที่ทำงานด้วยลำบาก ถ้ามันเห่าลูกค้าคนไหนแสดงว่าลูกค้าคนนั้นไม่ดี
เขาก็จะพูดว่า "สงสัยมันจะเป็นสิ่งไม่ดีที่เราจะทำงานร่วมกัน เพราะหมาของผมเห่าคุณ"

Ando บอกว่าด้วยความรักที่เขามีต่อมัน และต่อ Le Corbusier จากขนของมันที่เป็นสีขาวในตอนแรก ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นลายสีดำ คล้ายๆกับลายของเก้าอี้ที่ออกแบบโดย Le Corbusier (คนฟังหัวเราะ)


Row House ในเมือง Sumiyoshi (Azuma House)
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Azuma_House

งานต่อมาคือ Row House ในเมือง Sumiyoshi ตอนที่งานนี้สร้างเสร็จใหม่ๆมันได้รับชื่อเสียงในแง่ลบเป็นอย่างมาก บ้านหลังนี้มีคอร์ดอยู่ตรงกลาง Ando กล่าวว่า "คุณจะเห็นได้ว่าถ้าคุณต้องการจะเดินจากห้องครัวไปห้องนั่งเล่น คุณจะต้องเดินออกไปที่คอร์ดก่อน ด้วยความที่เจ้าของมีเงินไม่มาก เราจึงตัดสินใจที่จะไม่ติดตั้งแอร์หรือฮีตเตอร์ ลูกค้าก็ถามผมว่าถ้าเกิดอาการเย็นจะทำอย่างไร ผมตอบเขาว่าคุณก็ใส่เสื้อเพิ่มสิ"

"คุณจะเห็นได้ว่าถ้าตอนกลางคืนคุณอยากจะเข้าห้องน้ำ คุณจะต้องเดินออกมาข้างนอกเพื่อจะเดินลงไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่าง ในคืนที่มีหิมะตกหนักนั้น ถ้าคุณอยากจะไปเข้าห้องน้ำ การออกแบบอย่างนี้ทำให้คุณคิดว่า คุณอยากจะไปเข้าห้องน้ำจริงๆหรือ"
(คนฟังหัวเราะ)
ตอนนี้บ้านหลังนี้ก็กลายเป็น Eco House ไปแล้ว เนื่องจากมันไม่ต้องใช้พลังงานในการปรับอากาศแม้แต่นิดเดียว


Koshino House
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Koshino_House

ต่อมา Ando ได้ออกแบบ Koshino House สำหรับบ้านหลังนี้เขาต้องการที่จะออกแบบโดยการผสมผสานกันของสิ่งที่เรียบง่าย อย่างเช่นผนังคอนกรีตท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของแสงธรรมชาติ สิ่งที่เรียบง่ายแค่นั้นสามารถที่จะเป็นสิ่งที่มีพลังได้อย่างมากมายเช่นกัน แสงที่ตกลงมาภายในทำให้เกิดถึงความรู้สึกของเวลา เหมือนกับว่าสถาปัตยกรรมนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการหล่อเลี้ยงด้วยแสง ในขณะเดียวกันเขาต้องการที่จะสร้าง space ที่เป็นกลาง หรือเกือบจะเป็นโทนเดียวกัน เพื่อที่จะให้ผู้ใช้งานนั้นนำเฟอร์นิเจอร์เข้ามาสร้างสีสันให้แก่ space ด้วยตัวเขาเอง


Rokko Housing I
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Rokko_Housing_I,_II,_and_III

งาน Rokko Housing ในตอนแรกที่ลูกค้านำพื้นที่ก่อสร้างมาให้ดู เขาต้องการให้ Ando ออกแบบในพื้นที่ที่ราบเรียบ แต่เมื่อ Ando ไปดูพื้นที่แล้ว เขาเห็นพื้นที่ลาดชันที่อยู่ด้านหลังของที่ตั้ง เขาจึงถามลูกค้าว่าคุณคิดอย่างไรกับพื้นที่ตรงนั้น ลูกค้ากล่าวว่าคงไม่ได้ทำอะไร เพราะว่ามันคงจะสร้างอะไรไม่ได้ Ando จึงบอกว่า เขาสนใจที่จะออกแบบบนพื้นที่ลาดชันตรงนั้นเท่านั้น นั่นก็เป็นจุดต่อรองที่เราจะทำโครงการนี้ร่วมกัน

ลูกค้าบอกเขาว่าคุณนี่เป็นคนช่างท้าทายจริงๆ ผมมีพื้นที่ให้คุณออกแบบง่ายๆ บนพื้นที่เรียบๆ แต่คุณกลับอยากจะทำอะไรที่ยากๆบนพื้นที่ชันๆอย่างนั้น สำหรับ Ando แล้วสิ่งนี้เป็นการท้าทายความสามารถของตัวเอง ว่าจะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆได้บนพื้นที่นั้นหรือไม่

เพื่อนบ้านที่อยู่ข้างๆได้มาถาม Ando ว่า เนินดินจะพังลงมาทับบ้านเขาหรือเปล่า Ando ตอบกลับไปว่า "เราจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ผมสัญญาคุณไม่ได้หรอก" (คนฟังหัวเราะ)

Ando ได้พูดถึงเอกลักษณ์ของงานนี้ว่า เพราะว่าความลาดชันของพื้นที่นี้เกือบจะ 60 องศา เขาจึงสามารถออกแบบให้หลังคาของยูนิตข้างล่างนั้นกลายเป็นระเบียงของยูนิตข้างบนได้ และมันสำคัญมากที่จะต้องออกแบบไม่ใช่แค่ แปลน แต่เราจะต้องคิดถึงรูปตัด หรือ คิดให้เป็นสามมิติ ด้วย

ในขณะเดียวกัน เหมือนกับมนุษย์ เราทุกคนมีเอกลักษณ์และบุคลิกที่แตกต่างกัน สถาปัตยกรรมและที่ตั้ง(site)ก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณไม่สามารถค้นพบเอกลักษณ์ของที่ตั้งได้ มันจะเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำให้เกิดสถาปัตยกรรมที่ประสบความสำเร็จได้

หลังจากที่ Rokko Housing อันแรกเสร็จ เจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านข้างที่มีขนาดใหญ่กว่าสามเท่า ก็มาหา Ando แล้วเสนอให้เขาออกแบบ เขาได้ปฏิเสธไปในทีแรกเพราะโปรเจคที่ผ่านมาต้องใช้เวลาถึงแปดปีกว่าจะเสร็จ ลูกค้าได้ตอบกลับมาว่า เขาเข้าใจที่ว่า Ando คงจะเหนื่อยและแก่แล้ว คงไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ด้วยความที่โดนสบประมาทอย่างนั้น Ando จึงยอมทำงานนี้ และกว่างานนี้จะเสร็จก็อีกแปดปี

เมื่อตอนที่เขากำลังจะสร้าง Rokko Housing II เสร็จ Ando เริ่มที่จะมองที่ดินที่อยู่ข้างๆอีก สำหรับเขาแล้ว เขาจะต้องเดินไปข้างหน้า แทนที่จะรอให้ลูกค้ามาหาเอง


Rokko Housing I, II, III
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Rokko_Housing_I,_II,_and_III

พื้นที่บริเวณนี้เป็นของบริษัทผลิตเหล็กที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Ando ได้ sketch แบบขึ้นมาและนำไปเสนอให้กับเจ้าของที่ดิน CEO ของบริษัทนั้นโกรธเขามาก แต่เขาได้รับคำแนะนำว่า CEO ของบริษัทเปลี่ยนทุกๆ 4 ปี เขาควรจะเก็บแบบนี้ไว้ เผื่อ CEO คนต่อไปอาจจะชอบก็ได้

Ando กล่าวว่าเราไม่มีทางที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่างที่ทุกท่านอาจจะจำได้ว่าในปี 1995 ที่โกเบเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทางบริษัทผลิตเหล็กได้ติดต่อมาและบอกว่า หอพักเดิมตรงที่ตั้งนั้นได้ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว เขายังมีแปลนที่เคยนำมาเสนออยู่หรือเปล่า สุดท้ายเขาจึงได้ทำตรงพื้นที่นั้นทั้งหมด

เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเคลื่อนไปข้างหน้า บางทีเราอาจจะถูกปฏิเสธ บางทีสิ่งที่ดีๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

หลังจาก Rokko I, II, III Ando ได้มองไปที่อาคารคอมเพล็กที่อยู่ใกล้ๆกันอีก แต่ครั้งนี้เขาได้ถูกขอให้ออกแบบ ซึ่งที่ตั้งนี้เป็นโรงพยาบาลซึ่งเป็นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เขาต้องการจะสร้างอาคารโรงพยาบาลใหม่ Ando ได้เจอกับประธานของบริษัทนี้แล้วได้ถามว่า ที่ต้องการให้เขาออกแบบนี้เป็นเพราะว่าเขามีความคุ้นเคยกับที่ตั้งบริเวณนี้ และได้ออกแบบมาถึงสามโครงการแล้วหรือ

ประธานบริษัทได้ตอบกลับมาว่ามันไม่ใช่แค่เหตุผลเรื่องง่ายๆแค่นั้นหรอก จริงๆแล้วด้านล่างของที่ตั้งโรงพยาบาลนั้น เป็นบ้านของหัวหน้าแก็งค์ยากูซ่า คุณเคยเป็นนักมวยมาก่อน คุณอาจจะสู้กับเขาได้ แล้วเราถึงจะสร้างโปรเจคนี้ได้ (คนฟังหัวเราะ)

โปรเจคที่ I, II, III และ IV ทั้งหมดนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 33 ปีด้วยกัน


Benesse House
ที่มารูป http://en.m.wikipedia.org/wiki/File:Benesse_house01s3200.jpg

ต่อมา Ando ได้พูดถึงโครงการพิพิธภัณฑ์ที่เกาะ Naoshima เจ้าของคือคุณ Fukutake ประธานของบริษัท Benesse ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับด้านการศึกษา เขาได้ซื้อที่ดินผืนนี้บนเกาะ Naoshima วิสัยทัศน์ของเขาก็คือ เขาพยายามที่จะสร้างโลกแห่งศิลปะที่รอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ แต่ในตอนแรกนั้นที่ตั้งนี้อยู่ในสภาพย่ำแย่มากเนื่องจากหน้าดินที่ถูก ขุดไปใช้ที่อื่น ตอนแรก Ando ปฏิเสธที่จะทำโปรเจคนี้ เพราะมองไม่เห็นว่าจะทำให้ฝันของเขาเป็นจริงได้อย่างไร มันยากเกินไป

ในที่สุดเจ้าของก็สามารถที่จะโน้มนำเขาให้เห็นว่างานนี้เป็นงานสำคัญได้ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่จะรับทำ เขาค่อยๆที่จะเริ่มปลูกต้นไม้ใหม่ เวลาผ่านไปสิบปี สถานที่นี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากต้นไม้ที่เอาลงปลูกขนาดประมาณ 4-6 นิ้ว ตอนนี้มันได้กลายเป็นป่าไปแล้ว


ประติมากรรม "Pumpkin" โดย Yoyoi Kusama
ที่มารูป http://www.flickr.com/photos/celie/270249096/

งานศิลปะชิ้นแรกที่จะเห็นเมื่อมาถึงที่นี่คือประติมากรรมรูปฟักทอง โดย Yoyoi Kusama
Ando คิดว่าเธอเป็นคนที่มักจะก้าวนำหน้าไปก้าวหนึ่งเสมอ เป็นคนที่หัวก้าวหน้ามาก ตอนนี้เธออายุได้ 83 ปี สำหรับ Ando แล้วงานและวิถีในการดำเนินชีวิตของ Kusama ได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก แต่ถ้าถามว่าเขาอยากจะไปทานข้าวหรือดื่มกาแฟกับ Kusama ไหม เขาคงจะปฏิเสธ (คนฟังหัวเราะ)


Yoyoi Kusama
ที่มารูป http://www.messiejessieblog.co.uk/yayoi-kusama/

ในขณะเดียวกัน Ando ก็ได้เริ่มมองไปที่โรงนาเก่าที่มีอายุประมาณ 150-200 ปีในเกาะนั้น เพื่อที่จะนำมาปรับปรุงใหม่ให้กลับไปอยู่ในสภาพดีอย่างเดิม และนำมาใช้ในการแสดงงานศิลปะร่วมสมัย นอกจากนั้นยังมีบ้านในหมู่บ้านแถวนั้นที่เขานำมาปรับปรุง เพื่อที่จะแสดงผลงานของศิลปิน James Terrell Ando ได้กล่าวว่า "ตอนที่คุณเข้ามาในห้องนี้ช่วงสิบนาทีแรกคุณจะมองไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้น ตาของคุณจะเริ่มปรับตัว และคุณจะค่อยๆเห็นแสงที่เรืองออกมา คนที่ไม่มีจินตนาการ หลังจากอยู่ในนี้แค่ไม่กี่นาทีเขาก็จะเดินออกไป"

และอาคารที่อยู่ตรงข้าม เป็นอาคารที่ออกแบบเพื่อให้เป็น Ando Museum อีกประมาณหนึ่งปีจากตอนนี้ ถึงจะสร้างเสร็จ

ในเกาะเดียวกันนี้ก็มีอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่ทุกส่วนอยู่ใต้ดินหมด ห้องนี้เป็นห้องที่แสดงภาพ Water Lily ของ Monet ภายในห้องนั้นได้รับแสงจากธรรมชาติ Ando บอกว่าต้องการที่จะให้คุณภาพของแสงเหมือนกับห้องที่ Monet ใช้ในตอนที่เขาวาดภาพ


Punta della Dogana
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Punta_della_Dogana

อีกโปรเจคหนึ่งที่เพิ่งจะเสร็จไปไม่นานคืองานที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เขาได้รวมรวมทีมงานขึ้นมาทีมหนึ่งซึ่งได้ทำงานกันมากว่า 20 ปี งานแรกคือ Pallazo Grassi

เจ้าของโครงการนี้คือ Francois Pinault เจ้าของแบรนด์หรูอย่าง Gucci และอีกหลายๆแบรนด์ เขามีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างบ้านแห่งศิลปะ และต้องการที่จะย้ายงานศิลปะที่เขาสะสมไว้มาอยู่ที่นี่ เขาต้องการที่จะสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ช่วยให้งานศิลปะของเขานั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้

ส่วนอีกงานหนึ่งคือ Punta della Dogana ซึ่งตั้งอยู่บนปลายสุดของ Grand Canel อย่างที่เห็นว่าอาคารนี้ตั้งอยู่ปลายของโบสถ์ที่ออกแบบโดย Palladio และอาคารนี้เป็นอาคารอนุรักษ์ ภายนอกอาคารนั้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย โครงการนี้ทำให้ Ando ได้นึกถึงอีกโครงการที่เขาออกแบบไว้ตอนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ซึ่งเขาได้ออกแบบเป็นโครงสร้างรูปไข่ อยู่ภายในอาคารเก่าอายุกว่าร้อยปีที่เป็นอาคาร Public Hall ในเมืองโอซาก้า เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่อาคารเก่านั้นราวกับว่ากำลังโอบล้อมรูปทรงไข่ ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา เขาว่าความสัมพันธ์ของสองสิ่งนี้มันทำให้เกิดแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก เสียดายที่มันไม่ได้สร้าง


Punta della Dogana
ที่มารูป http://en.wikiarquitectura.com/index.php/Punta_della_Dogana

กลับมาที่โครงการ Punta della Dogana นี้ Ando ต้องการที่จะฝังกล่องคอนกรีตไว้ภายในอาคารเก่าแห่งนี้ ในขณะเดียวกันการที่จะทำคอนกรีตให้มีคุณภาพอย่างที่ต้องการภายใต้สภาพที่ตั้งที่เป็นอย่างนี้ การต้องขนคอนกรีตและทรายมาทางเรือ เรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย

ภายในเราจะได้เห็นเสาอิฐที่สร้างในช่วงปีคศ. 1600 Ando คิดว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะได้ประสบพบเห็นมัน มันก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการคิดของเรา

Ando ได้โชว์รูปเฮลิคอปเตอร์กำลังยกงานประติมากรรม Balloon Dog ของ Jeff Koon ขึ้นฟ้าแล้วบอกว่า
ที่ออฟฟิสของเขามีพนักงานเก่งๆมากมายที่เก่งคอมพิวเตอร์ งานของ Balloon Dog ของ Jeff Koon นั้นหนักประมาณ 5 ตัน ตอนที่เขาบอกให้พนักงานทำรูปแสดงวิธีการนำประติมากรรมนี้เข้าสู่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารูปนี้มันแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลย์กันระหว่างเฮลิคอปเตอร์กับประติมากรรมเป็นอย่างมาก

Ando กล่าวว่าถึงแม้ว่าคุณจะเก่งคอมพิวเตอร์แค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าสิ่งไหนมันหนักแค่ไหน มันมีลักษณะอย่างไร มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะทำในสิ่งที่มันเป็นจริง เรากำลังอยู่ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก จนคนเราเริ่มจะลืมในสภาพความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ


งาน "Balloon Dog" ของ Jeff Koon
ที่มารูป http://www.flickr.com/photos/willrad/248965364/

สุดท้าย Ando ได้โชว์งานที่กำลังก่อสร้างอยู่สองงานที่เมือง Malibu ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิก บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ใหญ่มาก และเจ้าของเป็นคนที่ละเอียดมาก ถึงกับมาตรวจสอบสภาพของงานคอนกรีตที่ไซต์ก่อสร้างทุกๆสองวัน ด้วยความละเอียดขนาดนั้นทำให้งานคอนกรีตที่ได้มานั้นสวยงามเป็นอย่างมาก

ส่วนบ้านอีกหลังหนึ่งนั้นสามารถเห็นวิวมหาสมุทรได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน เมื่อตอนเช้าเขาได้แวะไปดูงานที่ไซต์ก่อสร้าง ปรากฏว่าเขาเห็นสิงโตทะเลว่ายน้ำอยู่ในทะเล มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าไม่ใช่แค่ผู้คนเท่านั้นที่อยู่รอบๆตัวเรา แต่ยังมีสัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ด้วย


ภาพงานก่อสร้างบ้านในเมือง Malibu ดูภาพเพิ่มเติมได้ ที่นี่

Ando ได้กล่าวสรุปทิ้งท้ายไว้ว่า "เราอยู่ในช่วงเวลาที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับ ทรัพยากร พลังงาน และอาหารที่กำลังจะหมดไป
เราจะต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ เราจะต้องคิดถึงสถาปัตยกรรมที่ไม่ใช่แค่ใช้งานได้ดีในตอนนี้เท่านั้น แต่จะต้องมีอายุการใช้งานได้ 50 - 100 ปีขึ้นไป และนั่นผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมต้องการจากพวกเรา ในขณะเดียวกันเราได้รับความคาดหวังจากสังคมที่พวกเขาให้โอกาสเราในการคิดอย่างสถาปนิก ให้โอกาสเราที่จะสร้างสภาพแวดล้อมให้แก่คนในสังคมได้อยู่อาศัย นั่นเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบ และเราจะต้องให้คืนแก่สังคมด้วยงานสถาปัตยกรรมที่พวกเขาสามารถใช้ได้เป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพ

ขณะที่เรากำลังจะมีประชากรถึง 1 หมื่นล้านคน ในฐานะที่เป็นสถาปนิก เป็นช่างเทคนิก เป็นศิลปินคนหนึ่ง เรามีหน้าที่ที่ต้องคิดว่าเราจะนำเสนองานของเราให้เหมาะสมกับสภาพแบบนั้นได้อย่างไร ผมเชื่อว่า เราสามารถที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ ผมจะพยายามในส่วนของผม และผมก็หวังว่าคุณจะพยายามในส่วนของคุณเช่นกัน เพื่อที่จะให้พวกเรานั้นได้ก้าวไปสู่โลกที่เราต้องการจะอยู่ในอนาคต ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยาก เพราะสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ที่ไม่ดี หลายๆคนก็ไม่มีงานทำ ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งภายนอก ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือสิ่งที่อยู่ในตัวคุณเอง คุณจะต้องมีวิสัยทัศน์ และความฝันของตัวเอง"

 

จบบริบูรณ์

ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ กรุณาช่วยกด "Like" เพื่อช่วยเผยแพร่ด้วยครับ ขอบคุณครับ


 
     

กรุณาส่งคำแนะนำมาที่ got_arch@yahoo.com

หน้าแรก | โปรเจค | แกลเลอรี่ | บทความ | ลิ้งค์ | เกี่ยวกับเรา