คงจะเป็นปรกติที่วัยเด็กของหลายๆคนจะมีความฝันผสานตัวเองกับธรรมชาติด้วยการมีบ้านต้นไม้ให้ป่ายปีนตามจินตนาการ เสน่ห์ของการปีนป่ายไปกับพื้นที่ธรรมชาติและปล่อยตัวไปกับจินตนาการตามประสบการณ์ที่เด็กแต่ละคนมีไม่เหมือนกันจึงทำให้บ้านต้นไม้เป็นสถาปัตยกรรมขนาดเล็กที่ถูกผลิตซ้ำในรูปแบบต่างๆอยู่เสมอไม่ว่าบริบทของบ้านต้นไม้ที่เกิดขึ้นจะต่างกันไปอย่างไร แม้จะเป็นพื้นที่ๆคาดไม่ถึงว่าจะมีบ้านต้นไม้ซ่อนอยู่อย่างจังหวัดอุทัยธานี ที่แม้จะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหรือเมืองหลัก ผู้ที่จะมาเมืองนี้ต้องตั้งใจมาจริงๆเพราะไม่ใช่เมืองผ่านไปเมืองอื่นด้วยเป็นเมืองปิด อุทัยธานีจึงเป็นจังหวัดที่เงียบสงบอยู่เสมอ
เรื่องราวบ้านต้นไม้อีกเรื่องเริ่มต้นด้วยการเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครราว 2 ชั่วโมงบนถนนสายเหนือจากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้ามายังตัวจังหวัดอุทัยธานี ก่อนถึงตัวเมืองจะมีบ้านต้นไม้ 4 หลัง ซ่อนตัวอยู่ป่าที่ปลูกใหม่เมื่อ 35 ปีก่อนจากที่ร้างแต่เดิม บ้านทั้ง 4 หลังเป็นโครงการบูติคโฮเต็ลขนาดเล็กที่เกิดจากความฝันให้ปลุกผืนดินร้างให้เป็นป่าขนาดย่อมในชื่อว่า’บ้านสวนจันทิตา’
เจ้าของโครงการบ้านสวนจันทิตาเริ่มต้นด้วยการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ว่างด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองชนิดต่างๆ เมื่อปี พ.ศ. 2539 ด้วยแนวคิดจากป่าครอบครัวที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ที่สร้างป่าขึ้นมาเพื่อความยั่งยืนทางอาหารและยารักษาโรค จวบจนปี พ.ศ. 2556 ทางเจ้าของโครงการจึงติดต่อไปยังสถาปนิกคือ’สตูดิโอมิติ’ ให้เข้ามาสร้างบ้านต้นไม้ในป่าที่ปลูกไว้ เมื่อสถาปนิกเดินทางมาถึงได้พบเหล่าต้นไม้โตสร้างบรรยากาศให้ที่ตั้งครึ้ม โจทย์ที่พบด่านแรกคือการต้องออกแบบในเงื่อนไขที่ไม่ตัดต้นไม้เลย และให้สถาปัตยกรรมแทรกอยู่ในต้นไม้อย่างแนบเนียนที่สุด สถาปนิกเริ่มการทดลองด้วยการสำรวจระยะห่างจากต้นไม้เดิมที่มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.70 เมตร การแก้ปัญหาที่เลือกใช้คือการสร้างหน่วยสำหรับสเปซที่เล็กที่สุดให้กลายเป็นพื้นที่พักอาศัยได้ในขนาด 2.40 x 2.40 เมตร ซึ่งสถาปนิกได้ขนาดจากการทดลองเรื่องระบบฟุตที่สัมพันธ์กับสัดส่วนมนุษย์จากความสนใจในช่วงนี้ แต่ละหน่วยที่ออกแบบได้วางแทรกไปในพื้นที่ระหว่างต้นไม้ที่มีอยู่เดิม
จากนั้นนำแต่ละหน่วยมาเชื่อมต่อเพื่อให้เกิดเป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมสำหรับพักอาศัยที่น้อยที่สุด ภายในบ้านแต่ละหลังรองรับกิจกรรมเข้าพักแบบน้อยที่สุดด้วยพื้นที่นอน ห้องน้ำ ห้องพักผ่อน และชานด้านหน้า การทดลองเรียงในรูปแบบต่างๆกัน ผลลัพธ์ที่สถาปนิกเลือกคือรูปทรง’+’ โดยการวางส่วนใช้สอยจะสลับกันไปตามแต่ที่ตั้งของทั้ง 4 หลังเพื่อให้สอดคล้องกับต้นไม้เดิมมากที่สุด เมื่อขึ้นรูปทรงจาก+การแก้ปัญหาต่อมาคือการจบรูปทรงหลังคาที่ลาดเอียงทางเดียวเมื่อทำการขบกันจะเกิดรอยรั่วของมวลและพื้นผิว สถาปนิกจึงแก้ปัญหาการจบผืนหลังคาด้วยการเพิ่มผิวปิดแบบค่อยลาดเชื่อมทั้งสองพื้นผิว
การออกแบบสเปซภายในรองรับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เข้าพัก จากเดิมตามขนบเมื่อออกแบบบ้านพักในป่ามักจะนิยมสร้างช่องเปิดให้มีขนาดใหญ่สุดในทุกส่วนเพื่อดึงภาพธรรมชาติภายนอกเข้ามายังภายในมากที่สุด แต่สถาปนิกกลับเลือกเปิดและปิดตามลำดับการใช้สอย การเจาะช่องเปิดพื้นที่นอนเป็นเพียงหน้าต่างบานกระทุ้งแคบยาวแนวนอนทั้ง 3 ด้านทำให้การรับภาพมีกรอบแบบจำกัดกว่าการสร้างโรงแรมที่มีวิวแบบปรกติ ประกอบกับการใช้เพดานสูง ฝ้าเอียงตามองศาหลังคาช่วยให้สเปซเน้นกรอบหน้าต่างจากภายใน การเข้าไปใช้สเปซภายในในแต่ละหน่วยจึงถูกชักชวนให้ออกมารับประสบการพื้นที่ภายนอกทั้งชานด้านหน้าและชานใหญ่ที่เป็น common space มากกว่าจะชวนให้เก็บตัวอยู่ภายในบ้านแต่ละหน่วย
เมื่อเกิดความรู้สึกให้ชวนมาใช้พื้นที่ common space ที่ถูกวางอย่างจงใจให้อยู่ใต้ร่มเงาไม้พื้นเมือง แสงที่ลอดมาจนสลัวช่วยให้เกิดการเชื่อมบ้านแต่ละหลังด้วยเงา ชานขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นทั้ง common space ไปพร้อมกับ transition space การใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติให้เข้ามามีบทบาทกับสถาปัตยกรรมเป็นวิธีที่สตูดิโอมิติใช้อยู่เสมอ ทั้งในบ้านที่ปทุมธานี(art4d no:150)และสำนักงานของพวกเขาเอง ให้ผู้เข้าใช้สถาปัตยกรรมมีส่วนร่วมไปกับธรรมชาติ ซึ่งไม่ประนีประนอมต่อแสงแดด ลม ฝนในสถาปัตยกรรมกลิ่นตะวันออก
แนวคิดเรื่องการใช้วัสดุ สถาปนิกมีแนวคิดเลือกใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เป็นหลักอย่างไม้ที่ผสมไปทั้งไม้เก่าและไม้ใหม่ในส่วนโครงสร้าง เปลือก หรือส่วนตกแต่ง ส่วนหลังคาใช้วัสดุเป็นเหล็กแผ่นหนา 2 มิลลิเมตร พร้อมประกบด้วยโฟม EPS และไม้อัด OSB ผลลัพธ์จากการใช้ทั้งไม้ เหล็ก เป็นวัสดุ ปัญหาที่เจอคือการสื่อสารกับช่างที่มองแบบไม่ออกจึงต้องใช้หุ่นจำลองประกอบการทำงาน และอีกประเด็นคือฝีมือช่างที่ยังขาดความประณีต เทคนิคก่อสร้างที่พบในงานนี้เป็นไปตามฝีมือช่างในท้องถิ่นที่เรียบร้อยแบบที่คุ้นชิน แต่เป็นสิ่งที่ทั้งสถาปนิกและเจ้าของโครงการยอมรับได้ ก่อเกิดรูปแบบความงามที่ไม่อิงความประณีต ชวนให้นึกถึงเครื่องดินปั้นดินเผาพื้นบ้านที่สื่อถึงความดิบ รายละเอียดของงานเป็นความงามแบบวาบิที่ให้คุณค่าความหยาบของงานพื้นบ้านมากกว่าความเรียบเกลี้ยง หรือให้คุณค่าของร่องรอยมากกว่าความไม่มีตำหนิ
หากมองในภาพรวมที่เกิดขึ้นบ้านสวนจันทิตาสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ที่คุ้นชินโรงแรมที่สะดวกสบายแบบในเมืองด้วยความดิบจากธรรมชาติ และความดิบของตัวสถาปัตยกรรมเอง การเลือกใช้วิธีให้ผู้เข้าใช้อิงกับธรรมชาติผ่านสถาปัตยกรรมจากชานในร่มไม้
ก่อนจะกลับออกจากบ้านต้นไม้ ผมได้ลองเดินวนรอบในมุมที่ผ่านใต้ชานลงไปป่าด้านล่าง มีมุมที่ไม่เคยเห็นคือผนังไม้ตีแนวตั้งช่วยรับกับเส้นตั้งของต้นไม้สูงชะลูดซึ่งส่วนใหญ่มีอายุราว 35 ปี ผมพบความเชื่อมโยงในบริบทพร้อมกับความขัดแย้งในมุมนี้ และผมคลี่คลายเมื่อได้มีบทสนทนากับ’ลุงศาล’ เจ้าของบ้านสวนจันทิตาได้เอ่ยถึงที่มาของงานนี้ว่า “ผมมีความฝันที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านสวนที่บางกะปิหลังหนึ่งนะ เป็นบ้านที่ต้นไม้เยอะมากแต่อยู่ในเมือง ผมดูแล้วคิดว่าบ้านเรามีของดีอยู่แล้ว เรามีแสงแดด เรามีต้นไม้ ทำไมเราต้องอยากไปเหมือนคนอื่นด้วยในเมื่อเรามีของดีอยู่แล้ว ถ้าอยากจะไปดูตึกดูเมืองก็ไปสิงคโปร์สิ ไปญี่ปุ่นสิ แต่ถ้ามาบ้านผมนะ ให้มาดูต้นไม้ ที่พวกคุณมาบ้านผมกันก็เพราะมาดูต้นไม้ไม่ใช่เหรอ ”
บทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร art4d ฉบับ 226,JUNE 2015
ขอขอบคุณแอดมินแขกสำหรับรูปและบทความงานนี้ด้วยครับ
บ้านสวนจันทิตา
Location : อ.เมือง จ.อุทัยธานี
Architects : STUDIO MITI
ภาพและบทความโดย : คุณสาโรช พระวงค์